Tuesday, October 9, 2012

อาหารบำรุงตับ

อาหารบำรุงตับ

การฟื้นฟูบำรุง รักษาตับซึ่งจะเป็นตัวควบคุมเส้นเอ็นอีกทีนึง ตามทฤษฏีแพทย์จีน การแก้ไขเรื่องของตับนั้น ขอให้จับประเด็นเกี่ยวกับต้นเหตุความผิดปรกติของตับให้ได้ก่อน ซึ่งมีรายละเอียดอยู่มากพอสมควร
วิธีแก้ปัญหาของตับโดย คือ
1. งด ลด ปรับเปลี่ยนในเรื่องการกินอาหารให้ถูกเสีย เน้นการกลับไปกินอาหารไทย ๆ แบบพื้นถิ่น พื้นบ้านเดิม ๆ อาหารธรรมชาติ อาหารเพื่อสุขภาพในแนวต่าง ๆ
2. ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต พฤติกรรม การกิน การนอน การขับถ่าย ให้เหมาะสมตามกลไกนาฬิกาชีวภาพของร่างกาย
3. หันมาใช้ผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ เพื่อหลีกเลี่ยงการนำเอาสารเคมี สารพิษ รูปแบบต่าง ๆ เข้าสู่ร่างกายจากการดำเนินชีวิต ใช้ชีวิตประจำวันให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้
อาหารที่ใช้ในการบำรุง ฟื้นฟูและล้างพิษตับ
1. เห็ดที่กินได้สามอย่างขึ้นไปอะไรก็ได้ เช่น เห็ดหอม + เห็ดหูหนูขาว + เห็ดหูหนูดำ…..ผสมมะตูมแห้ง + ใบเตย
เครื่องปรุง ใช้เห็ดหอม + เห็ดหูหนูขาว + เห็ดหูหนูดำ (แห้ง) หรือ เห็ดฟาง + เห็ดนางฟ้า + เห็ดเป๋าฮื้อ (สด)
เห็ดสามอย่างที่ใช้อาจเป็น เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดโคน เห็ดหอม เห็ดหูหนูขาว เห็ดหูหนูดำ ฯลฯ เห็ดอะไรก็ได้ที่กินได้ สามอย่างขึ้นไป สดหรือแห้งก็ได้ จะเป็นสี่ ห้า หรือหกอย่างก็ได้ นำมาต้มเป็นน้ำซุปเห็ด หรือโดยต้มกับสาหร่ายทะเล หรือทำเป็นอาหารแบบต่าง ๆ เช่น ยำ ต้มยำ แกงเลียง แกงส้ม หรือเป็นส่วนประกอบในกับข้าวมื้อต่าง ๆ
1.  ลาบเห็ดรวม
ส่วนประกอบ
1.เห็ดฟาง    2 ขีด
2.เห็ดหอมสด  2 ขีด
3.เห็ดเข็มทอง  1 ช่อ
วิธีทำ
ล้างเห็ดทั้งสามอย่าง หั่นเห็ดทั้งหมด พักไว้เตรียมใบมะกรูด ผักชีฝรั่ง หัวหอม แล้วก็ต้นหอม  หั่นพอประมาณ จากนั้นนำเห็ดไปลวกน้ำร้อน ให้สุกพักไว้ นำเครื่องปรุงก็จะมี พริกป่น น้ำตาล น้ำปลา มะนาว ข้าวคั่ว คลุกเคล้ากันกับเห็ด นำต้นหอม และเห็ดต่างๆมาคลุกเคล้า ปรุงรสชาติตามใจชอบ

                                                
                                                                      เครื่องปรุงต่างๆ
หั่นเห็ดเตรียมไว้
หั่นต้นหอมและหัวหอม
ลวกเห็ดเตรียมไว้
ข้าวคั่ว น้ำตาล น้ำปลา มะนาว
คลุกเคล้าเครื่องปรุง
นำเครื่องปรุงทั้งหมดคลุกเคล้า หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ

น้ำเห็ด 3 อย่าง

เห็ดสามอย่าง คือ เห็ดฟาง เห็ดนางฟ้า เห็ดขอน เมื่อนำเห็ดทั้ง 3 ชนิดมารวมกันแล้วประกอบอาหาร จะได้โปรตีนจากเห็ด ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้งานได้ง่ายกว่าโปรตีนที่ได้จากเนื้อสัตว์ โปรตีนจากเห็ดจะไปสร้างกรดอะมิโน ที่ช่วยบำรุงสมอง ปรับสมดุลของการสร้างเซลล์ใหม่ในร่างกาย ต้านการเกิดมะเร็ง ขจัดสารพิษ ส่วนผสม
เห็ดฟาง
เห็ดนางฟ้า
เห็ดขอน
มะตูมแห้ง
ใบเตย ** สามารถใช้เห็ดชนิดอื่นแทนได้ ใช้ได้ทั้งเห็ดสด และเห็ดแห้ง
วิธีทำนำเห็ดสดทั้ง 3 ชนิด ล้างให้สะอาด แล้วหั่น
ต้มเห็ดทั้ง 3 ชนิดรวมกับมะตูมแห้ง และใบเตย ใส่น้ำพอประมาณ รอจนเดือด
เมื่อเดือดแล้ว ตักเห็ดแยกออก แล้วนำน้ำที่ได้ไปกรองผ่านผ้าขาวบาง ก็จะได้น้ำต้มเห็ด 3 อย่าง ที่มีรสชาติหวานจากเห็ด และมีกลิ่นหอมจากมะตูม และใบเตย
ส่วนเห็ดที่แยกออกมานั้นสามารถนำไปประกอบอาหารได้ แต่ไม่ควรนำไปผัดกับน้ำมัน ควรใช้กะทิแทน เพราะกะทิเป็นไขมันที่ละลายได้ในน้ำ และมีคอเรสเตอรอลที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย
ประโยชน์และคุณค่าทางสมุนไพร- ช่วยล้างสารพิษที่ตกค้างในตับ ช่วยบำรุงไต
- ลดอนุมูลอิสระที่เกิดเป็นเซลล์มะเร็ง
- สลายพังผืดในมดลูก
- เพิ่มเม็ดเลือดขาว ลดไขมันในเส้นเลือด
- เป็นอาหารบำรุงตับ ถ้าตับไม่แข็งแรงจะส่งผลให้ อารมณ์ไม่ดี ไทรอยอาจเป็นพิษ ตัวผอมและพุงป่อง เป็นต้น
เมนูน้ำซุปเห็ด 2 เมนู
1.ซุปเห็ดสมุนไพรรสเด็ด

วิธีทำน้ำซุปเห็ด นำเห็ดแห้งสามอย่างขึ้นไปล้าง แช่น้ำให้นิ่ม หั่นหรือฉีกเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มรวมกัน ใส่น้ำเยอะๆ นำมะตูมแห้งที่เป็นแว่นๆ มาปิ้งให้หอม ใบเตย 2 – 3 ใบ ใส่ลงไปต้มรวมกัน แล้วกรองดื่มเป็นน้ำซุปเห็ดส่วนเนื้อเห็ดอาจนำไปยำหรือผัดกับกะทิ
2.ซุปเห็ดอินเตอร์
ส่วนผสมเห็ดโคนหิมะ/เห็ดเข็มทอง 500 กรัม
น้ำซุปไก่ 3 ถ้วย
หัวหอมใหญ่ 1 หัวใหญ่
แป้งสาลี 2 – 3 ช้อนโต๊ะ
วิปครีม 2 ช้อนโต๊ะ
เนยจืด 1ช้อนโต๊ะ
ใบกระวาน 2 ใบ(แต่งหน้า)
เกลือ
วิธีทำซุปเห็ด
1.ตั้งหม้อซุป เอาหอมใหญ่ซอยไปผัดกับเนยประมาณ 5 นาที จนนิ่มใส่เห็ดโคนหิมะลงไปผัด
2.ใช้ไฟกลางๆ พอเห็ดคายย้ำออกมา ก็หรี่ไฟลง ผัดไปเรื่อยๆ จนกระทั่งน้ำเห็ดแห้ง เติมแป้งสาลีลงไป
3.เติมน้ำซุปลงไป จนเข้ากันดีแล้วนำไปปั่นให้ละเอียดแล้วเทกลับหม้อซุป
4.หั่นเห็ดเข็มทองเป็นชิ้นเล็ก ใส่เห็ดเข็มทองในหม้อซุป กวนให้เข้ากัน เติมครีมลงไปปรุงรสด้วยเกลือตั้งให้ร้อน แต่อย่าให้เดือด
5.ตักใส่ถ้วย ทานคู่ขนมปังกรอบ โรยพริกไทยดำ
สรรพคุณ - ใช้เป็นอาหารบำรุงตับที่สำคัญมาก โดยอาจรับประทานร่วมกับมันฝรั่งต้มหรือนึ่ง จะช่วยบำรุงตับได้ดีมาก
- ช่วยล้างสารพิษหรือท็อกซินและไขมันที่พอกสะสมและตกค้างอยู่ในตับ ต่อต้านการเป็นมะเร็ง
- ลดอนุมูลอิสระ ลดการเกิดซีสต์ ถุงน้ำ เนื้องอก และเซลล์มะเร็งของอวัยวะภายในร่างกาย
- ช่วยสลายเยื่อพังผืดในช่องท้อง อุ้งเชิงกราน มดลูก
- ลดไขมันที่ล้นเกินบริเวณตับ (ไขมันพอกตับ) และไขมันในกระแสเลือด
- เพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาว
2. ขมิ้นชัน ดีเหลือเกินสำหรับสมุนไพรตัวนี้ ทั้งช่วยในการบำรุง ฟื้นฟูและล้างขับพิษออกจากตับไปพร้อมๆกัน ได้ประโยชน์สองต่อเลย ขมิ้นชันจัดอยู่ในกลุ่มสมุนไพรที่เป็นอาหาร ไม่ใช่ยา ขนาดปริมาณที่กินก็คือ 5000 - 8000 มิลลิกรัมต่อวัน (ขนาดแคปซูลละ 500 มิลลิกรัมก็ตก 10 - 15 เม็ดเท่านั้น) กินครั้งเดียวก่อนจะนอน กินเป็นประจำทุก ๆ คืนก็ไม่มีโทษแต่อย่างใด.....
ขอขอบคุณ : http://th.answers.yahoo.com/

ไอศกรีมช่วยลดความเครียด

ไอศกรีมช่วยลดความเครียด


สวัสดีค่ะ ผู้เยี่ยมชม วันนี้ร้อนมักๆ เลยจะมาดับร้อนกันด้วยของเย็นๆค่ะ แต่เอ.. จะทำไงดี ของเย็นที่ว่านี้จะทำให้อ้วนไหมน้า.. เดี๋ยวนี้พัฒนาการมีมากมายค่ะ เลยทำให้ผู้คนหันมาสนใจสุขภาพกัน เพราะฉะนั้นเลยมีไอศกรีมลดอ้วนกินได้ไขมันต่ำมาฝากกันค่ะ
ส่วนประกอบหลัก ๆ ในไอศกรีม (สูตรทั่วไป) คือ น้ำ ไขมัน นม น้ำตาลไอศกรีมไขมันต่ำ (Low-fat) คือ ไอศกรีมที่มีส่วนผสมไขมันนมมากที่สุดไม่เกิน 3 กรัมในไอศกรีมเสิร์ฟครึ่งถ้วย
ไอศกรีมลดไขมัน (Reduced fat) คือ ไอศกรีมที่มีส่วนผสมไขมันนมน้อยกว่าสูตรธรรมดา หรือดั้งเดิม 25%
ไอศกรีมไขมันครึ่งเดียว (Light) คือ ไอศกรีมที่มีส่วนผลมไขมันนมน้อยกว่าสูตรธรรมดา 50% ให้พลังงานลดน้อยลง 33%
ไอศกรีมไร้ไขมัน (Non-fat) คือ ไอศกรีมที่มีส่วนผสมไขมันนมน้อยกว่า 0.5 กรัม ในไอศกรีมสำหรับ 1คน
วิธีรับประทานไอศกรีมไม่ให้อ้วน และส่งผลเสียกับสุขภาพคือเลือกรับประทานไอศกรีมในสัดส่วนที่พอเหมาะ โดยอาจเลือกประเภทที่ไขมันต่ำ หรือไอศกรีมที่ใช้น้ำผลไม้สดแทนสารให้ความหวานอื่น ๆ นอกจากนั้นไอศกรีมที่มีการเพิ่มเติมวิตามินซีและแคลเซียม ก็ยังเป็นทางเลือกที่ให้ทั้งประโยชน์ และความอร่อยในคราวเดียวกัน
ไอศกรีมช่วยลดความเครียดได้....มี ผลการทดลองจากนักวิทยาที่ยืนยันออกมาจาก NationaI Academy of Sciences ว่าการรับประทานไอศกรีมจะช่วยกำจัดความเครียดได้ เพราะสัญญาณตอบสนองการย่อยไขมันในไอศกรีมจะส่งผลไปปิดสัญญาณของความเครียด ที่ส่งผ่านฮอร์โมนต่าง ๆ (Stress hormone) อาหารที่มีพลังงานสูง และการกระตุ้นในสมองจะช่วยให้คลายความเครียดลง
รู้จักไอศกรีมมากขึ้นแล้ว อย่าลืมเลือกรับประทานให้ถูก

Yakult Ice-Cream Homemade
ยาคูลท์ 3 ขวด
ไข่แดง(ไข่ไก่) 2 ฟอง
วิปปิ้งครีม 150 ml
น้ำตาลทรายละเอียด 75 กรัม
นมสดไม่พร่องมันเนย 50 ml
น้ำตาลกลิ่นวนิลา 5 กรัม (ไม่ใส่ก็ได้)





วิธีทำ
  • นำน้ำตาลทรายละเอียด+น้ำตาลกลิ่นวนิลา เทลงในไข่แดง ตีส่วนผสมให้เข้ากัน จนส่วนผสมข้นขาว


  •  เทนมลงในส่วนผสมไข่ คนให้เข้ากัน ตามด้วยยาคูลท์ คนให้เข้ากันแล้วพักไว้

  • ตีวิปปิ้งครีมด้วยความเร็วสูงสุด จนขึ้นฟู นำมาผสมลงในส่วนผสมนม คนให้เข้ากันดี เทใส่ภาชนะพลาสติกปิดฝา แช่ในตู้เย็นอย่างน้อย 4 ชั่วโมง แล้วนำมาปั่นในเครื่องปั่นไอศครีม แล้วแต่เครื่องนะคะ เครื่องที่ใช้ ปั่นประมาณ 30 นาที แล้วตักใส่ภาชนะพลาสติก ปิดฝา นำเข้าช่องฟรีช แช่ไว้จนแข็ง ก่อนตักเสิร์ฟค่ะ

  •  รสชาติ ยาคูลท์ ยาคูลท์ อร่อยๆ หากินยาก ทำเองดีกว่า เนื้อเนียนๆ 

  • หน้าตาของไอศกรีมก็จะออกมาเป็นแบบนี้ค้า
ขอขอบคุณ : http://smokeyzone.exteen.com

เมนูสดชื่น..เครื่องดื่มยามเช้า..

เมนูสดชื่น..เครื่องดื่มยามเช้า..

ยาม เช้าของใครหลายท่าน มักเป็นเช้าที่ไม่ค่อยสดใสอยู่บ่อยครั้งค่ะ  สาเหตุที่ว่านี้อาจจะอยู่ที่การนอนดึกหรือไม่ก็อาการแฮงค์จากงานสังสรรค์ชน แก้ว ก็ได้ ถ้าอย่างนั้น คุณควรที่จะให้ยามเช้าอันแสน สดใสของคุณกลับคืนมา คุณลองทำเครื่องดื่มสูตรพิเศษที่เราจะนำมาฝากกันค่ะ
น้ำมะนาว
ถ้าคุณร่าเริงอยู่ในคาราโอเกะจนดึกจนดื่นแล้วละก็ เช้าขึ้นมาอาการเจ็บคอต้องถามหาคุณอย่างแน่นอนแนะนำว่าให้คุณหาน้ำมะนาวมา เป็นเครื่องดื่มยามเช้า เพราะในน้ำมะนาวจะมีกรดซิตริกมีวิตามินซี ที่นอกจาก จะช่วยขับเสมหะ แก้อาการเจ็บคอแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายสดชื่น แถมกลิ่นหอมอ่อนๆจากเปลือกที่โดนคั้นยังช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
ขั้นแรกเลยตวงส่วนประกอบกันตามนี้เลย
1.น้ำมะนาว 1 แก้ว แก้วในที่นี้หมายถึงแก้วใบเล็กๆ เหมือนคนแก่สมัยก่อนชอบก๊งเหล้า แต่หากไม่มีใช้ขนาดอื่นแทนก็ได้
2.น้ำเย็น 2 แก้ว
3.น้ำร้อน 2 แก้ว
4.เอาน้ำตาลไปเชื่อม เป็นน้ำเชื่อมซัก 2 แก้วหย่อนๆ
5.เกลือ 1 ช้อน ชงกาแฟ ใครใส่ช้อนโต๊ะระวังจะอร่อยจัดหละ
6.เสร็จแล้วใส่น้ำแข็งก้อนคนให้เข้ากัน ดื่มให้ชื่นใจแก้กระหายคลายร้อน...
น้ำขิง
คน ที่มีอาการเมาค้าง คลื่นไส้ อยากอาเจียน แนะนำน้ำขิงร้อนๆ เพราะขิงมีสารเคมีที่เรียกว่า จินเจอรอลที่เป็นสารเคมีประเภทน้ำมันหอมระเหยที่ให้ทั้งรสและกลิ่นไม่เหมือน ใคร การทำน้ำขิงให้อร่อยนั้น ควรบุบหัวขิงที่ไม่แก่จัดจนเกินไปต้มด้วยน้ำร้อนพอเดือด อย่าต้มนานเกินไปเพราะขิงจะเสียรสเสียกลิ่นไปได้มาก หลังจากนั้นคุณจะดิ่มเ ปล่าๆหรือเติมน้ำตาลเพิ่มรสชาดก็ได้
ส่วนผสม
1. ขิงสดขนาดหัวแม่มือ 1-2 แง่ง
2. น้ำสะอาดต้มสุก 1 แก้ว (150-200 ซีซี)
3. น้ำตาลทรายแดง 1-2 ช้อนชา
วิธีชง ฝานขิงบาง ๆ ประมาณ 1 ขยุ้มมือ ใส่ถ้วยแล้วเติมน้ำเดือดจัด ๆ ให้เต็มถ้วยชา ปิดฝาตั้งทิ้งไว้พออุ่นก็ตักขิงออก เติมน้ำตาลทรายแดง 1-2 ช้อนชา ดื่มรวดเดียวจนหมด วิธีชงแบบนี้จะได้น้ำขิงที่สดใหม่ มีสรรพคุณยาเต็มที่ เพราะน้ำมันหอมระเหยจะไม่หนีหายไปไหน
วิธีต้ม
ใช้ขิงสดขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ ทุบให้แตก หรือหั่นเป็นแว่นก็ได้ต้มกับน้ำ 1 แก้ว ใช้ไฟอ่อน ๆ ต้มให้เดือดนาน 5 นาที แล้วยกลงเติมน้ำตาลตามต้องการ การดื่มน้ำขิงปกติควรดื่มวันละ 4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน ถ้าเตรียมน้ำขิงไว้ดื่มเป็นจำนวนมากขึ้นให้เพิ่มขิงและน้ำตามส่วน แต่ต้องกะให้ดื่มหมดภายในวันเดียว ไม่ควรค้างคืน

น้ำผัก น้ำผลไม้ เป็น น้ำที่อร่อยดื่มได้ง่าย ยังอดุมไปด้วยวิตามินหลายชนิด โดยเฉพาะวิตามินซี วิตามินเอ โฟลิคแอซิคและแร่ธาตุ เช่นโซเดียม โปแตสเซียม สังกะส ในน้ำผัก น้ำผลไม้ยังมีส่วนผสมของน้ำตาลโดยธรรมชาติไปถึงน้ำตาลที่มีการเติมลงไป ซึ่งสามารถให้พลังงานแก่ร่างกาย ช่วยให้เราหายเหนื่อยหายเพลีย ทำให้ร่างกายสดชื่นสดใส
น้ำผักสดๆ จากผักใบเขียว
ส่วนตัวเคยลองใช้ผักใบเขียวไม่มากนักนำมาคั้นน้ำ เพราะต้องใช้ผักเป็นจำนวนมาก รสชาติ สีออกจะไม่ค่อยน่ากินนัก
ผักที่เคยทดลอง
- คึ่นช่ายฝรั่ง 3 ก้านต้นใหญ่ (จะได้น้ำประมาณ 1/3-1/2 แก้ว จัดว่าเป็นผักที่มีน้ำมากพอสมควร)
- ผักกวางตุ้งญี่ปุ่น ประมาณ 4-5 ต้นเล็ก (เป็นผักที่มีรสขื่นพอสมควร กินยาก แต่สีเขียวจัด)
- บร๊อคโคลี่ 1 หัว เป็นผักที่มีน้ำไม่มากนัก แต่ไม่น่าเชื่อว่าคั้นออกมาแล้วรสชาติพอจะกินได้ แต่ว่าชอบเอามาทำกับข้าวมากกว่าเลยไม่ได้ทำอีก
** ผักใบเขียวส่วนใหญ่มักจะเอามาผสมกับมะเขือเทศ แครอท หรือมะนาว แต่ยังไม่เจอส่วนผสมที่คิดว่าลงตัว กลัวว่าเอาไปทำตามแล้วจะกินไม่ได้ บางครั้งแอนยังต้องผสมน้ำผึ้งหรือ ACV เพื่อปรับรส แต่ส่วนใหญ่จะดื่มล้วนๆ
** ผักสีเขียวเอามาคั้นกับผักสีส้ม สีแดง ผสมกันออกมาแล้วสีไม่สวยเลย ชอบตอนที่เป็นชั้นสองสีตอนคั้นเสร็จใหม่ๆ จากที่รองของเครื่อง บางครั้งเห็นแยกเป็นสามสี สวยดีเชียว แต่รสชาต

น้ำหวาน
คน นอนดึกส่วนใหญ่ยามเช้าของคุณจะมีอาการปวดหัว มึนศรีษะ เกิดอาการเครียดทางประสาท ซึ่งเป็นเพราะร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ อาหารเช้าที่มีแป้งและน้ำตาลสามารถช่วยได้ โดยเฉพาะน้ำตาลจะดูดซึมได้ดีและง่ายกว่า น้ำหวานๆสักแก้วในยามเช้า จะทำให้จิตใจสงบขึ้น คลายอาการเครียดและมึนงงได้
วิธีทำ
เริ่มต้มน้ำด้วยไฟอ่อนพอน้ำเริ่มร้อนค่อยๆ
เราก็เติมน้ำตาลทรายลงไป กวนช้าๆด้วยไม้พาย
เมื่อน้ำเดือดก็ให้ใส่เกลือลงไป ** คนอย่างเร็วแล้วยกลงทันที **
ทิ้งไว้ให้เย็นแล้วจากนั้นเราก็บีบมะนาวลงไป
( กรองน้ำมะนาวด้วยตะแกรงก่อน )กวนเล็กน้อย
น้ำหวานจะค่อยๆใส เสร็จแล้วนำไปกรองด้วยผ้าขาวบาง
เก็บใส่ภาชนะที่ใช้สำหรับเก็บเช่น ขวดโหล
ถังไม้โอ๊ค เพื่อให้ตะกอนเล็กๆที่แขวนลอยอยู่ตกตะกอนลง
ไปอยู่ที่ก้นภาชนะ เราจะใช้เวลาเก็บประมาณ 2-3 วัน
น้ำหวานสีแดง
ส่วนผสม
น้ำหวานเข้มข้น
กลิ่นสตอเบอรี่พอสมควร
สีแดง ( สีผสมอาหาร ) พอสมควร

ตำซ่า ตำแซ่บ เมนูเด็ดส้มตำ

ตำซ่า ตำแซ่บ เมนูเด็ดส้มตำ

ตำกระท้อน
วิธีทำส่วนผสมส้มตำกระท้อน
. กระท้อนปอกเปลือกสับเป็นเส้นๆ 1 ถ้วย
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำกระท้อน
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่กระท้อน มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว
ตำสับปะรด
วิธีทำส่วนผสมส้มตำสับปะรด
. ปอกสับปะรด หั่นเป็นชิ้นพอคำ 1 ถ้วย
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. เนื้อหมูหันลวกสุก 1/4 ถ้วย
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำสับปะรด
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่สับปะรด มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว
ตำแครอท
วิธีทำส่วนผสมส้มตำแครอท
. สับแครอท เป็นเส้นๆ 1 ถ้วย
. กุ้งสด ผ่าหลัง ลวก 4-5 ตัว
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำแครอท
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่่แครอท มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว

.ตำข้าวโพด
วิธีทำส่วนผสมส้มตำข้าวโพด
. แกะข้าวโพดฝัก ประมาณ 1 ถ้วย
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำข้าวโพด
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่่ข้าวโพด มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว
ตำสาลี
วิธีทำส่วนผสมส้มตำสาลี
. หั่นสาลีเป็นชิ้นพอคำ ประมาณ 1 ถ้วย
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. ข้าวโพดต้มสุก แกะ 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำสาลี่
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่่สาลีที่เตรียมไว้ มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว

ตำส้มโอ
วิธีทำส่วนผสมส้มตำส้มโอ
. ปอกส้มโอเอาส่วนที่เป็นกลีบ แบ่งเป็นชิ้นพอคำ ประมาณ 1 ถ้วย
. กระเทียมแกะเปลือกออก 2 ช้อนโต๊ะ
. พริกขี้หนูสวน 2 ช้อนโต๊ะ
. มะเขือเทศลูกเล็กผ่าครื่ง 1/4 ถ้วย
. กุ้งแห้งอย่างดี 2 ช้อนโต๊ะ
. ถั่วลิสงคั่ว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำปลาดี 2 ช้อนโต๊ะ
. น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ
. น้าตาลปี๊บ 2 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำส้มตำส้มโอ
1.โขลกกระเทียมกับพริกพอแหลก ใส่กุ้งแห้งโขลกให้เข้ากัน
2.ปรุงรสด้วย น้ำปลาดี น้ำมะนาว น้ำตาลปี๊บ คนให้เข้ากัน จึงใส่่ส้มโอที่เตรียมไว้ มะเขือเทศลูกเล็ก คนให้เข้ากัน ชิมรส ตามชอบแล้วตักใส่จานให้สวยงาม โรยหน้าด้วยลิสงคั่ว ให้ทั่ว

5 เมนูไข่..อุ่นไอรัก

5 เมนูไข่..อุ่นไอรัก

วันนี้ จะเอาเมนูไข่สารพัดไข่มาฝากกันค่ะ เราจะเน้นไข่เพื่อสุขภาพ จะได้ทานกันให้อิ่มใจกันไปเลยค่ะ รับรองว่าจะไม่ผิดหวัง เพราะจะมีผักเป็นเป็นส่วนประกอบค่ะ

1. ไข่เจียวผักคื่นช่าย
ส่วนผสมอาหาร
 1. ไข่ไก่3 ฟอง
2. ผักคื่นช่ายซอย1/2 ถ้วย
3. ซีอิ้วขาว1 ช้อนโต๊ะ
4. ซอสหอยนางรม1 ช้อนชา
5. พริกไทยป่น1/2 ช้อนชา
6. น้ำมะนาว1/2 ช้อนโต๊ะ
7. น้ำมันพืช
วิธีทำอาหาร1.ตอกไข่ใส่ชาม ใช้ส้อมตีไข่ให้แหลก ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว ซอสหอยนางรม และพริกไทยป่น
2.จากนั้นใส่ผักคื่นช่ายลงไป และน้ำมะนาวลงไป คนให้ผสมกัน
3.นำกระทะแบนใส่น้ำมัน ยกขึ้นตั้งไฟ ใช้ไฟกลาง พอร้อนเทไข่ลงไปทอดให้สุกเหลือง
4.ตักไข่ขึ้นพักบนเขียง แล้วม้วนพับไข่ให้เป็นหลอดแบน จากนั้นตัดไข่เหมือนเราตัดซูชิ มีความหนาประมาณ 1 นิ้ว
5.เสร็จแล้วจัดไข่เจียวคื่นช่ายใส่จาน เสิร์ฟพร้อมซอสพริก ทานร้อนๆ ได้เลยค่ะ
 น้ำมันมะกอก 1 ช้อนโต๊ะ

2.ไข่เจียวเห็ดโคนหลวงผักโขม
 -เห็ดโคนหลวง หรือเห็ดชิเมจิ หั่นรากทิ้งไว้โคน 1 ถ้วย
- ผักโขมหั่น 1 ถ้วย
- ไข่ 3 ฟอง
- ซีอิ้วขาว 1/2 ช้อนโต๊ะ
- เกลือ เล็กน้อย
- พริกไทยดำ เล็กน้อย
- ชีสบด (mozzarella cheese) 2 ช้อนโต๊ะ
- มะเขือเทศหั่นลูกเต๋า 1/2 ลูก
วิธีทำ1. ตอกไข่ลงในชาม พร้อมด้วยพริกไทย และเกลือ ตีให้เข้ากัน
2. ตั้งกะทะ*ด้วยไฟกลางถึงไฟแรง เทน้ำมันมะกอก 1/2 ช้อนโต๊ะลงในกะทะ จากนั้นรอจนน้ำมันร้อนได้ที่ ใส่เห็ดและผักโขมลงผัดประมาณ 2 นาที หรือจนผักสุก ปรุงรสด้วยซีอิ้วขาว แล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสร็จแล้วตักขึ้นพักไว้
3. นำกะทะ*ใบใหม่ตั้งไฟ (หรือจะใช้กะทะใบเดิมก็ได้ แต่ควรล้างกะทะให้สะอาดเสียก่อน) ตั้งไฟกลางถึงไฟแรงเช่นเดิม เทน้ำมันมะกอกที่เหลือลงกะทะ รอให้ร้อน จากนั้นเทไข่ลงกะทะแล้วหมุนกะทะให้ไข่แผ่ออกเป็นวงกลมทั่วกะทะ
4. เมื่อไข่ใกล้สุกให้กลับไข่ เพื่อให้ไข่ด้านบนได้โดนความร้อนของกะทะ เมื่อไข่สุกทั้งสองด้านดีแล้ว เบาไฟ และให้ใส่เห็ดและผักโขมที่เราผัดพักไว้ ลงบนไข่เจียวที่อยู่ในกะทะ โรยด้วยชีสให้ทั่ว จากนั้นพับไข่ครึ่งหนึ่ง โดยให้ไข่เจียวเป็นรูปครึ่งวงกลม ตักใส่จาน โรยด้วยมะเขือเทศหั่นลูกเต๋าที่เตรียมไว้ พร้อมเสริ์ฟ
* ควรเป็นกะทะเทฟลอน เพราะไม่ต้องใช้น้ำมันเยอะและอาหารจะไม่มัน ดีต่อสุขภาพค่ะ

3. ไข่เจียวดอกขจร


ส่วนประกอบ
1. ดอกขจร 1 กำ
2. ไข่ไก่     3 ฟอง
3, น้ำมันพืช  2 ช้อนโตํะ
วิธีทำ
1, ตีไข่ไก่สองใบ ให้ขึ้นฟู ใส่ดอกขจรที่ลวกจนสุกลงไป
2. ตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน รอให้น้ำมันเดือด ก็ใส่กระเทียมหั่นลงไป พอกระเทียมเริ่มสุก ใส่ไข่เจียวดอกขจร ลงไปทอดจนไข่เจียวสุก พลิกกลับให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน ยกลง จัดใส่จานทานกับข้าว
สวยร้อนๆ นุ่ม จะทานกับซอสพริกศรีราชา ก็อร่อย

 4.ไข่เจียวดอกโสน

ส่วนประกอบ1. ดอกโสน 1 กำมือ
2. ไข่ไก่ 3 ฟอง
3. น้ำมันพืช
วิธีทำ
1, ตีไข่ไก่สองใบ ให้ขึ้นฟู ใส่ดอกโสนที่เด็ดเอาเฉพาะดอกใส่ลงไป
2. ตั้งกะทะ ใส่น้ำมัน รอให้น้ำมันเดือด ก็ใส่กระเทียมหั่นลงไป พอกระเทียมเริ่มสุก ใส่ไข่เจียวดอกโสน ลงไปทอดจนไข่เจียวสุก พลิกกลับให้สุกทั่วกันทั้งสองด้าน ยกลง แค่นี้ก็เรียบร้อยแล้วค้ะ



5. ไข่เจียวฝรั่งใส่เห็ดและชีส
เครื่องปรุง
1. เห็ดนางฟ้าหรือเห็ดอื่นๆตามชอบใจ 1 ขีด
2. เนย Clarify 1/2 ถ้วยตวง
3. หอมแดงสับ 1 ช้อนชา
4. เนยแข็งขูด เชดดาร์ชีส 30 กรัม
5.ไข่ไก่ 3 ฟอง
6, นม 3-4 ช้อนโต๊ะ
7. เกลือ พริกไทย พอประมาณ

วิธีทำ
1. นำกระทะตั้งไฟ ใส่เนย Clarify 2 ช้อนโต๊ะ
2. เมื่อกระทะร้อน นำเห้ดลงไปผัดกับหอมสับ ปรุงรสด้วยเกลือ พริกไทย แล้วตักออกพักไว้
3. นำกระทะตั้งไฟ นำเนย Clarify ใส่ลงไปให้ร้อน ประมาณ 4-5 ช้อนโต๊ะ
เมื่อร้อนให้นำไข่ไก่ที่ตีจนเข้ากันกับนม หรือครีม ลงไปในกระทะ คนให้ข้น แล้วกระจายไข่ให้ทั่วกระทะ
4. ลดไฟอย่าให้ไข่ไหม้หรือเหลือง ตักเห็ดใส่แล้วโรยด้วยเชดดาร์ชีสขูดฝอย
5. แล้วค่อยๆ เคาะกระทะ เพื่อม้วนไข่ให้เป็นห่อกลมๆ เรียวๆ ยาวๆ

แหล่งที่มา : ขอบคุณผู้บอกเล่า
ภาพประกอบ : อินเตอร์เน็ต

อาหารเจเพื่อสุขภาพ

อาหารเจเพื่อสุขภาพ

เกี๊ยวทอดไส้ผัก

ถั่วงอกเด็ดหาง 1/2 ถ้วยเครื่องปรุงแผ่นเกี๊ยว 30 แผ่น
เต้าหู้ขาว 1 แผ่นกะหล่ำปลีหั่นฝอย 1/2 ถ้วย
แครอทไสเป็นเส้นเล็กๆ 1/4 ถ้วย
แป้งข้าวโพด 1 ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 1/4 ช้อนชา
เกลือ 1 ช้อนชา
น้ำมันงา 1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ถ้วย
เครื่องปรุงน้ำจิ้ม
น้ำสลัดน้ำข้น 2 ช้อนโต๊ะ
หอมใหญ่สับละเอียด 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ
เกลือ 1/2 ช้อนชา
งาคั่ว 1 ช้อนชา
ซอสพริก 1 ช้อนชา
วิธีทำน้ำจิ้มผสมเครื่องปรุงทั้งหมดเข้าด้วยกัน หรือจะใช้ซอสพริกเป็นน้ำจิ้มก็ได้
วิธีทำอาหารเจ
ยีเต้าหู้ให้เป็นชิ้นเล็กๆ ใส่น้ำตาล ซีอิ๊วขาว เกลือ แป้งข้าวโพด ผสมให้เข้ากัน ผัดผักทั้งสามชนิดกับน้ำมันจนผักสุกนิ่ม ใส่เต้าหู้ผัดให้เข้ากัน ตักออกให้เย็น ตักผักที่ผัดประมาณ 1 ช้อนชา วางลงบนแผ่นเกี๊ยวแต่ละแผ่น ห่อไส้ด้วยแผ่นเกี๊ยวให้สนิท ใช้น้ำทาริมแผ่นเกี๊ยวบีบริมให้แน่น
วิธีห่ออาหารเจ
ใส่ไส้ตรงกลางพับมุมตรงข้ามเข้าหากัน ใช้น้ำแตะริมแผ่นเกี๊ยว บีบให้แน่น จะได้เกี๊ยวรูป 3 เหลี่ยม ใส่ไส้ตรงกลางพับมุมตรงข้าม แล้วจึงจับด้านซ้ายขวาตรงส่วนฐานเข้าหากัน ทาน้ำบีบเบาๆ จะได้เกี๊ยวคล้ายรูปดอกไม้คือตรงส่วนริมไม่ติดกัน ใส่ไส้ตรงกลาง พับด้านตรงข้ามเข้าหากันแล้วจึงทาน้ำหัวท้ายแผ่นเกี๊ยว พับให้แน่น จะได้เกี๊ยวรูปสามเหลี่ยมผืนผ้า ใส่น้ำมันลงในกะทะ พอน้ำมันร้อนใส่ตัวเกี๊ยวทอดให้กรอบเหลือง ตักออกให้สะเด็ดน้ำมัน กินกับน้ำจิ้ม ใช้เป็นอาหารว่างกินกับเครื่องดื่ม

ผัดโหงวก้วย

ส่วนผสม
1. เต้าหู้แข็งหั่นเต๋า
2. แครอท
3. พริกหวานเขียว/แดง
4. แห้ว
5. แปะก้วย
6. พุทราจีนเชื่อม
7. เกาลัด

สูตรวิธีการทำอาหารไทย-อาหารเจ-ผัดโหงวก้วย1. ทอดเต้าหู้ให้กรอบ แล้วพักไว้
2. ผัดแครอทให้สุกพอประมาณ ตามด้วยเต้าหู้ทอด และพริกหวานทั้ง 2 สี
3. ปรุงรสด้วยซอสเห็ดหอม น้ำตาลทราย ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส
4. จากนั้นเติมพริกไทย และน้ำมันงาเล็กน้อย
5. ผัดจนกระทั่งซอสต่างๆ ข้นขึ้น
6. ใส่ส่วนประกอบที่เหลือทั้งหมด คลุกให้ซอสเคลือบให้ทั่วกัน
8. เม็ดมะม่วงหิมพานต์

ผัดเขียวหวานเจ

ส่วนผสม
1. เต้าหู้แข็ง
2. โปรตีนเกษตรชนิดแผ่นกลมเล็ก
3. หมี่กึง
4. กะทิ
5. พริกแกงเขียวหวานเจ
6. ยอดมะพร้าว
7. มะเขือ
8. พริกเม็ดใหญ่
9. โหระพา
10.ใบมะกรูด
วิธีการผัดเขียวหวาน1. นำโปรตีนเกษตรแช่น้ำให้เรียบร้อย เมื่อนิ่มดีแล้ว ก็จัดการหั่นเป็นชิ้น รวมทั้งหมี่กึงและเต้าหู้ด้วย
2. หั่นมะเขือเป็นชิ้นพอคำ แล้วแช่น้ำเกลือ
3. พริกเม็ดใหญ่หั่นแฉลบๆ เด็ดใบโหระพา
4. เริ่มผัดพริกแกงเขียวหวานในน้ำมันให้มีกลิ่นหอม
5. ใส่เต้าหู้ หมี่กึง และโปรตีนเกษตรลงผัด เติมกะทินิดนึง ผัดไปให้สุกดี ใส่ยอดมะพร้าวกับมะเขือตามลงไป
6. ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสโดยใส่เกลือ ซีอิ๊วขาว ซอสเห็ดหอม และน้ำตาลทรายเล็กน้อย
7. เติมกะทิทั้งหมดลงไป คนให้เข้ากัน ตั้งไฟทิ้งไว้ให้เดือด หมั่นคน
8. ใส่พริก ใบมะกรูด และ ใบโหระพา ผัดให้เข้ากัน เป็นอันเสร็จ

ต้มจับฉ่ายเจ

ส่วนผสม
1. เต้าหู้เหลือง
2. โปรตีนเกษตร
3. ฟองเต้าหู้แบบแท่ง
4. ผักกวางตุ้ง
5. ผักคะน้า
6. กะหล่ำปลี
7. หัวไชเท้า
8. แครอท
9. เห็ดหอม
10. เห็ดนางรม
11. คนอร์รสเห็ดหอม 1 ก้อน
***ของทุกอย่างเราจะทอดหรือผัด ก่อนที่จะนำไปต้มเป็นจับฉ่ายนะคะ***
-การทอดพวกเต้าหู้ก่อน จะทำให้เวลาต้มมันจะไม่เละเกินไป
-การผัดผักก่อน จะทำให้ต้มจับฉ่ายมีกลิ่นหอมขึ้น
วิธีทำต้มจับฉ่าย1. แช่เห็ดหอมก่อนเป็นอับดับแรก หั่นเต้าหู้เป็นชิ้นเล็กๆ
2. ทอดเต้าหู้ให้เหลืองๆ
3. ทอดโปรตีนเกษตรให้เหลืองๆ
4. ของทั้งหมดที่ทอดเสร็จแล้ว ใส่จานพักไว้ก่อน ตามรูปด้านบนนะคะ
5. ต่อไปเป็นการผัดผักนะคะ (ทั้งหมดผัดกับน้ำมันร้อนๆ นะคะ)ผัดทีละชุดนะคะ
6. ชุดที่ 1 ผัด แครอท หัวไชเท้า ก้านคะน้า
7. ชุดที่ 2 ผัด เห็ดนางรม
8. ชุดที่ 3 ผัด กะหล่ำปลีและใบคะน้า
9. ชุดที่ 4 ผัด เห็ดหอม
10. ชุดที่ 5 ผัด ผักกวางตุ้ง ,จะมีรูปของที่ผัดเสร็จแล้วใส่ถ้วยให้ดู 2 รูปก่อนรูปตั้งหม้อต้มน้ำนะคะ
11. ตั้งน้ำให้เดือด ใส่ คนอร์รสเห็ดหอม 1 ก้อน
12. ปรุงรสโดยใส่เกลือเล็กน้อย ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และน้ำตาลทรายนิดหน่อย ให้ได้รสเค็มๆ หวานๆ
13. ใส่ผักแข็งก่อน พอต้มไปซักพักก็ใส่ผักทั้งหมดตามลงไป
14. รอให้เดือดซักรอบนึง แล้วก็ใส่ของทอดทั้งหมดค่ะ
15. กดให้มันจมลงไปนะคะ
16. จากนั้นตั้งไฟอ่อนๆ ทิ้งไว้ได้เลย จะได้เปื่อยๆ

เต้าหู้ทอดราดซอสส้ม
\
ส่วนผสม
1. เต้าหู้เหลืองนิ่ม หั่นเป็นชิ้นพอคำ
2. น้ำส้มคั้น
3. เนื้อส้มหั่น
4. น้ำมะนาว
5. เกลือ
6. พริกไทย
7. แป้งข้าวโพดละลายน้ำ สำหรับทำซอสส้ม


สูตรวิธีการทำอาหารไทย-อาหารเจ-เต้าหู้ทอดราดซอสส้ม1. ทอดเต้าหู้ให้กรอบนอกนุ่มใน เมื่อทอดได้ที่แล้ว พักไว้
2. แล้วมาเริ่มทำซอส โดย ผสมน้ำส้มคั้น, เนื้อส้มหั่น, น้ำมะนาว, เกลือ, พริกไทย แล้วคนให้เข้ากัน นำขึ้นตั้งไฟอ่อนๆ
3. คนจนกระทั่งเดือดดี ใส่น้ำแป้งข้าวโพด คนเร็วๆ จนซอสส้มข้นขึ้น
4. จัดเต้าหู้ทอดใส่จาน แล้วราดด้วยซอสส้ม เป็นอันเสร็จ
 
ขอขอบคุณ : OkThaiFood.com

ข้าวผัด..จัดหนัก 5 อย่าง เมนูสุขภาพดี

ข้าวผัด..จัดหนัก 5 อย่าง เมนูสุขภาพดี

สวัสดีค่ะ วันนี้นำเมนู ข้าวผัด จัดหนัก 5 อย่าง เมนูสขภาพดีมาฝากให้ทำ รับประทานกันภายในครอบครัวในวันหยุด หรือว่าวันอยากจะรับประทานค่ะ แล้วแต่แม่บ้านหรือพ่อบ้านท่านไดจะทำทานกันค่ะ

เมนูที่ 1 ข้าวผัดดอกอัญชันไก่ทอดตะไคร้กรอบ (DINNING IN - savoury cake)

หุงข้าวก่อนโดยใส่ข้าวประมาณ 2 ถ้วยและน้ำสะอาดตามปกติ เพิ่มดอกอัญชันสด 5-6 ดอกเด็ดขั้วสีเขียวออกแล้วใส่ลงในหม้อหุงข้าวด้วย เมื่อข้าวสุกแล้วใช้ไม้พายคนก็จะได้ข้าวสีน้ำเงินสวย สำหรับทำข้าวผัดให้นำข้าวมาตากแผ่ไว้เพื่อให้เย็นและไม่แฉะจะได้ผัด ข้าวอร่อย
หั่นเนื้อไก่อกหรือสะโพก 200 กรัม เป็นชิ้นพอคำหมักกับตะไคร้ซอย 2 ช้อนโต๊ะ น้ำปลา 1 ช้อนชา น้ำตาล 1/2 ช้อนชา แป้งมัน 1/2 ช้อนชา และน้ำมัน 1/2 ช้อนชา หมักไว้สักชั่วโมงหนึ่ง ระหว่างรอให้ซอยตะไคร้สำหรับทอดไว้กำมือใหญ่ การซอยตะไคร้ให้บางจะได้ตะไคร้ทอดที่กรอบและไม่เหนียว
ตั้งน้ำมันสำหรับของทอดก่อน โดยทอดเครื่องเคียงคือเม็ดมะม่วงหิมพานต์ให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ด น้ำมันไว้ สำหรับตะไคร้ให้คลุกกับเกลือทะเลและแป้งอเนกประสงค์ให้เข้ากัน ใส่ตะไคร้ทอดในน้ำมันทีละน้อยให้เหลืองทองและใส่กระชอนสะเด็ดน้ำมันไว้เช่น กัน
เทน้ำมันออกจากกระทะให้เหลืออยู่แค่ 2 ช้อนชา ใส่ไก่pที่หมักไว้ลงทอดพอสุกเหลืองจึงใส่ข้าวดอกอัญชันลงไปผัดด้วย ปรุงรสด้วยน้ำปลาและน้ำตาลอีกที จัดใส่จานรับประทานพร้อมเม็ดมะม่วงหิมพานต์ทอด พริกขี้หนูซอย มะนาว ประดับด้วย ดอกอัญชันสด ถ้าจะให้ครบชุดก็ดื่มด้วยน้ำมะนาวโซดาใส่ดอกอัญชัน ยกเสริฟได้ค่ะ

เมนูที่ 2 ข้าวผัดธัญพืช (Fried rice grains)

ส่วนผสม (Ingredient)
ข้าวกล้อง 1 ทัพพี (Brown rice)
ข้าวโพดหวาน 2 ช้อนโต๊ะ (Sweet corn)
แปะก๊วย 5-6 เมล็ด
เม็ดบัว 5-6 เมล็ด (Lotus seed)
ลูกเกด 1 ช้อนโต๊ะ (Currant)
กุ้งแชบ๊วย 5-6 ตัว (Shrimp)
กระเทียม 2-3 กลีบ (Garlic)
น้ำมันพืช ซีอิ๊ว น้ำปลา (Vegetable oil, C stops that, Fish sauce)
ต้นหอมผักชี มะนาว แตงกวา (Onion, Coriander, Lemon, Cucumber)
ขั้นตอนการทำ (Procedure)
บุบกระเทียมลงผัดกับน้ำมันพืช เอาเครื่องทุกอย่างลงผัดปรุงรสด้วยซีอิ๊วและน้ำปลา โรยหน้าด้วยผักชีและต้นหอมซอย เวลาจะกินบีบมะนาวลงไป กินกับแตงกวา


เมนูที่ 3 ข้าวผัดเม็ดบัว

เครื่องปรุงข้าวผัดเม็ดบัว
ข้าวสวย 2 ถ้วย
เห็ดหอมปรุงรสหั่นเสี้ยว 3 ดอก
เม็ดบัวแช่น้ำให้นึ่งนิ่มสุก ¼ ถ้วย
เนื้อไก่หั่นชิ้นพอคำ ¼ ถ้วย
กระเทียมแกะเป็นกลีบ 5 กลีบ
พริกไทยป่น ½ ช้อนโต๊ะ
ซีอิ๊วขาว ½ ช้อนโต๊ะ
น้ำมันหอย ½ ช้อนโต๊ะ
                                                                                     น้ำมัน 4 ช้อนโต๊ะ
วิธีทำข้าวผัดเม็ดบัว
เคล้าไก่กับซีอิ๊วขาว ½ ช้อนโต๊ะ หมักไว้ประมาณ 10 นาที
ใส่น้ำมันในกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน ใส่เนื้อไก่ เห็ดหอม กระเทียม เม็ดบัว ผัดให้เข้ากัน ใส่ข้าว ผัดพอทั่ว
ปรุงรสด้วยพริกไทย ซีอิ๊วขาว น้ำมันหอย ผัดให้เข้ากัน ทุกอย่างสุก ปิดไฟ
ตักข้าวผัดเม็ดบัวใส่จาน แต่งด้วยพริกชี้ฟ้าหั่นฝอย ผักชีเด็ดเป็นใบ รับประทานข้าวผัดเม็ดบัวพร้อมต้นหอม เสิร์ฟ
เมนูที่ 4 ข้าวผัดสมุนไพร
ส่วนผสม
เนื้อไก่200 กรม
ข้าวสวย3 ถ้วย
ข้าวโพดต้ม50 กรัม
แครอท 30 กรัม
หอมแดง50 กรัม (ซอยบาง)
ตระไคร้ 20 กรัม (ซอยบาง)
ขิงอ่อน (ซอยเส้นบาง) 50 กรัม
ใบมะกรูดหั่นฝอน 5 ใบ
มะนาว2.5 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา3 ช้อนโต๊ะ
กระเทียมสับละเอียดด 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ
ใบสระแหน่ 1/4 ถ้วยตวง
พริกขึ้หนูซอยบาง 1 ช้อนโต๊

วิธีทำ
1. นำแครอทมาลวง ล้างไก่แล้วหันเป็นชิ้นเล็กๆ
2. นำกระเทียมสับ น้ำมันใส่กระทะ เอาเนื้อไก่ลงผัดสักครู่พอสุก แล้วใส่ส่วนผสมทั้งหมด ยกเว้นใบสะระแหน่ ผัดให้เข้ากัน พอสุกได้ที่
ก็ตักใส่จาน โรยใบสระแหน่หน่อย แล้วยกเสริ์ฟได้เลย

เมนูที่ 5 ข้าวผัดทูน่า
วิธีทำ
ใส่ น้ำมันลงกระเทียม แล้วตามด้วยผักตามใจชอบ ใช้ คะน้า แครอท มะเขือเทศ ผักเบสิคสำหรับคนที่ชอบทานผักนะค่ะ ผัดแปบนึงก็ตามด้วยไข่ไก่รอ​สุกๆนิดค่อยขยี้นะค่ะ แล้วตามด้วยทูน่า ปรุงรสตามชอบ แล้วตามด้วยข้าวสวยค่ะ


10 อาหารลดความเครียด

10 อาหารลดความเครียด

สวัสดีเจ้าค่ะ วันนี้เรามีเมนูสุขภาพสุดยอดอาหารมาฝากกันนะค่ะ ใครที่ยังไม่รักษาสุขภาพก็เริ่มได้แล้วนะค่ะ เริ่มตั้งแต่วันนี้สุขภาพดีอ่อนวัยค่ะ....มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ..

10 อาหารลดความเครียด

1. ช็อกโกแลต : ความฉงนสนเท่ห์เกี่ยวกับช็อกโกแลตมีมากมาย บ้างก็ว่าดีต่อสุขภาพ บ้างก็ว่าอ้วนเพราะกินช็อกโกแลต จักราวุธ ภู่เสม อาจารย์ประจำภาควิชาอาหารและโภชนาการ คณะเทคโนโลยีคหกรรมศาสตร์ มทร.พระนคร แนะนำว่า ควรเลือกรับประทานประเภท ดาร์ค ช็อกโกแลต (Dark Chocolate) หมาย ถึงช็อกโกแลตที่ไม่มีนมและครีมเป็นส่วนผสมที่มากเกินไป ครีมเป็นส่วนผสมที่ให้ความหวาน ซึ่งทำให้คนบริโภคช็อกโกแลตประเภทนี้ง่ายขึ้น เมื่อบริโภคง่ายจนเกินพอดี ก็ทำให้เกิดภาวะโภชนาการเกิน ซึ่งทำให้เกิดปัญหาความอ้วน-น้ำหนักเกิน ดังนั้นถ้าจะกินช็อกโกแลต ให้กินช็อกโกแลตประเภท 'ดาร์ค ช็อกโกแลต' และช็อกโกแลตที่ให้ความหวานแต่น้อย
     ความจริงแล้ว ช็อกโกแลตเป็นอาหารแห่งความสุข เนื่องจากในช็อกโกแลตมีสารที่เรียกว่า Phenylethylamine ปกติสารเคมีตัวนี้สมองจะหลั่งออกมาขณะที่คนคนนั้นเกิดความรัก เว็บไซต์ 'ทาเลนท์ดีเวลอปดอทคอม' เผยแพร่ผลการศึกษา Dark Chocolate: The New Antianxiety Drug ของ ดร.เมอร์โคลา ที่ระบุการใช้ช็อกโกแลตบำบัดผู้ป่วยด้านอารมณ์ของคลินิกบำบัดแห่งหนึ่ง โดยพบว่าการกินดาร์ค ช็อกโกแลต จำนวนออนซ์ครึ่งทุกวันเป็นเวลา 2 สัปดาห์ ช่วยลดระดับฮอร์โมนความเครียดลงได้

         2. น้ำมะตูม : นอกจากเป็นไม้มงคล คนไทยรุ่นปู่ย่าตายายเชื่อว่า สรรพคุณเชิงสมุนไพร มะตูมเป็นยาอายุวัฒนะ ด้วยความที่เป็นพืชในตระกูลที่ให้น้ำมันหอมระเหย กลิ่นผลมะตูมสุกจึงช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายนอกเหนือจากสรรพคุณแก้กระหายน้ำ ขับลมในลำไส้ ลดความดันโลหิตสูง

   อ.จักราวุธ แนะนำให้ระวังเมื่อนำผลมะตูมมาทำเป็นเครื่องดื่มและรับประทานเป็นของหวานแบบ เชื่อมน้ำตาล เนื่องจากโดยธรรมชาติเนื้อมะตูมมีความเผ็ดร้อนและปร่า เพื่อขจัดรสชาติเหล่านี้ คนโบราณนิยมใช้น้ำตาลทรายเป็นจำนวนมาก ซึ่งนั่นทำให้ร่างกายได้รับภาวะโภชนาการเกินเช่นกัน
         
          3. กล้วยหอม : ช่วยคลายเครียดได้ดี เพราะกล้วยหอมเป็นแหล่ง 'ทริปโตฟาน' ชั้น ยอด และยังมีน้ำตาลครบ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส ซึ่งร่างกายพร้อมนำไปใช้งานได้ทันที เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดสารพิษที่คั่งค้างในร่างกาย
  4. นมสด : หลายคนนิยมหรือได้รับคำแนะนำให้ดื่มนมอุ่นๆ ก่อนนอน จะทำให้นอนหลับง่าย (นางเอกในนวนิยายหลายเรื่องเชียวล่ะ) ข้อมูลเชิงวิชาการให้เหตุผลว่า เนื่องจากในนมสดมีสารอาหารประเภทแคลเซียม เมื่อแคลเซียมรวมตัวกับกรดแลกติกที่บริเวณปลายประสาท จะทำให้กรดแลกติกไม่สามารถก่อความระคายเคืองต่อระบบประสาทได้ จึงทำให้ไม่เกิดความเครียด หรือเครียดน้อยลง ที่สำคัญนมสดยังเป็นแหล่งของกรดอะมิโนที่ชื่อ 'ทริปโตฟาน' อีกเช่นกัน

          5. เนื้อสัตว์ : ร่างกายต้องการพลังงานและโปรตีนในการดำเนินชีวิตและซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ เนื้อสัตว์ถือเป็นแหล่งอาหารที่ให้พลังงานที่สำคัญแหล่งหนึ่ง โดยเฉพาะสารอาหารประเภทโปรตีน ซึ่งร่างกายจะย่อยเพื่อให้ได้กรดอะมิโนต่อไป ที่สำคัญควรเลือกเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน หรือติดมันแต่น้อย

          6. ไข่ไก่ : จัดอยู่ในแหล่งอาหารที่ให้โปรตีนสูง มีกรดอะมิโนครบที่ร่างกายต้องการ และยังมีเกลือแร่ วิตามินอื่นๆ ที่สำคัญมากมาย ไข่ไก่ 100 กรัม ไม่ว่าจะไข่ดิบ ไข่ต้ม ไข่เจียว ก็ให้โปรตีนประมาณ 6 กรัม (แต่ให้พลังงานมากน้อยต่างกัน) ถ้าเป็นไข่เป็ด จะให้โปรตีน 15 กรัม
         7. เมล็ดธัญพืช : เมื่อความเครียดมาเยือน ร่างกายนำสารอาหารหลายชนิดที่สะสมไว้ ไปใช้ในการสร้างฮอร์โมน เพื่อช่วยในการตอบสนองต่อสถานการณ์ต่างๆ และขับสารอาหารบางชนิดออกทางปัสสาวะมากขึ้นด้วย ร่างกายจึงมีความต้องการสารอาหารบางชนิดเพิ่มขึ้น หากความเครียดสะสมเป็นเวลานาน ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายก็จะอ่อนแอ ทำให้เจ็บป่วยง่าย สารอาหารที่ร่างกายต้องการเพิ่มขึ้นยามนี้คือ 'วิตามินบี' ชนิด ต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่โดยตรงต่อการส่งสัญญาณของประสาททุกชนิด แหล่งวิตามินบีสำคัญก็คือ ข้าวกล้อง จมูกข้าวสาลี ถั่วเหลือง ถั่วเปลือกแข็ง เมล็ดธัญพืชต่างๆ นั่นเอง

          8. ขี้เหล็ก : คนไทยโบราณประจักษ์สรรพคุณต้นขี้เหล็กมานาน นำใบและดอกมาแกงรับประทาน เป็นยาระบายได้ดี ความจริงก็คือใบขี้เหล็กมีสาร บาราคอล (Baracol) ที่ มีคุณสมบัติช่วยให้นอนหลับง่ายและยังมีฤทธิ์เป็นยาระบายอ่อนๆ เหมาะสำหรับทุกเพศ ทุกวัย โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาหลับยากและปัญหาระบบขับถ่าย ทั้งระบายท้องทั้งระงับประสาท จึงเหมาะสำหรับรับประทานเป็นอาหารแก้เครียดขนานหนึ่ง


9. เสาวรส : มีทั้งแบบเปลือกสีม่วงและสีเหลือง ชื่อสากลรู้จักกันในนาม Passion Fruit ผลไม้ชนิดนี้รสเปรี้ยว แต่เป็นรสเปรี้ยวที่มีเจือไว้ด้วยสาร ธีโอโบรมีน (Theobromine) ซึ่ง เป็นอนุพันธ์หนึ่งในกลุ่มกาเฟอีน มีผลในการช่วยขยายหลอดเลือด ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงอวัยวะและร่างกายส่วนต่างๆ ได้ทั่วถึง จึงรู้สึกผ่อนคลาย กระปรี้กระเปร่า
       
          10. ลูกยอ : พืชชนิดนี้ใช้ได้ทั้งผลอ่อน ผลสุก และใบ ล้วนมีสรรพคุณเชิงสมุนไพรเกี่ยวกับการบำรุงสมองและการไหลเวียนของเส้นเลือด ในสมอง ส่งผลให้มีสมาธิดีและมีความจำที่ดีขึ้น วิธีรับประทานคือนำลูกยอไปฝานเป็นแว่นๆ ตากแดดให้แห้งสนิท ใส่ลงในแก้วน้ำ เทน้ำร้อนตามแล้วดื่มได้ทันทีแบบจิบทีละน้อย แต่บ่อยครั้ง ได้ผลดีกว่าดื่มรวดเดียว

นอกจากอาหาร 10 ประเภทข้างต้น อ.จักราวุธ ภู่เสม ยังแนะนำวิธีเรียบง่ายโดยให้ลองดื่ม น้ำเปล่า ซึ่งน้ำต้องเป็นอุณหภูมิปกติ ไม่เย็นจนเกินไป การดื่มน้ำเปล่าช่วยลดอุณหภูมิส่วนเกินของร่างกายได้ เพราะในช่วงที่เกิดความเครียดนั้น ระบบต่างๆ ของร่างกายจะมีอุณหภูมิสูงขึ้น ซึ่งเกิดจากการทำงานของเซลล์ และเซลล์ก็จะปล่อยสารเคมีต่างๆ ออกมา ทำให้เลือดมีแร่ธาตุต่างๆ ในปริมาณที่สูง ทำให้เลือดข้น นอกจากน้ำเปล่าแล้วก็ยังมี โกโก้ร้อน (อุ่นเกือบร้อน) เพราะในโกโก้นั้นมีสาร Phenylethylamine มีฤทธิ์คล้ายกับสาร Endorphin ซึ่งเป็นสารที่ทำให้ร่างกายผ่อนคลาย และมีความสุข

                    การ รู้จักเลือกรับประทานอาหารที่มีคุณค่า ประกอบกับแนวคิดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพแขนงอื่นๆ ช่วยให้ร่างกายเสื่อมถอยช้าลง ซึ่งน่าจะลดความเครียดได้เป็นอย่างดี

ที่มา: หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Twitter Delicious Facebook Digg Stumbleupon Favorites More

 
ddd